อัสสัมชัญ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกเยาวชนแห่งชาติ รุ่นอายุไม่เกิน15 ปี พร้อมรับเงินรางวัล 1 ล้านบาท

ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. เป็นประธานในพิธีมอบถ้วยและเหรียญรางวัลพร้อมเงินรางวัลบำรุงทีมในการแข่งขันฟุตบอลลีกเยาวชนแห่งชาติ ประจำฤดูกาล 2018-2019 ในรอบชิงชนะเลิศ รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี โดยมีนายประกอบ วงศ์มณีรุ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต,นายธรรมวรรธ วงศ์เจริญยศ กรรมการการ กกท. , พันโทรุจ แสงอุดม รองผู้ว่าการ กกท. ฝ่ายกีฬาอาชีพและสิทธิประโยชน์ ,นายวิษณุ ไล่ชะพิษ รองผู้ว่าการ กกท. ฝ่ายส่งเสริมกีฬา เข้าร่วม ณ สนามกีฬาสุระกุล จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 30 มิ.ย ที่ผ่านมา

สำหรับฟุตบอลลีกเยาวชนแห่งชาติ ในปีนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นฤดูกาลที่ 3 โดยความร่วมมือกันระหว่าง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา , การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่เปิดโอกาสนักกีฬาฟุตบอลเยาวชนทั่วประเทศได้มีลีกฟุตบอลแข่งขัน เพื่อยกระดับและพัฒนาความสามารถส่งต่อไปสู่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ เพื่อเป้าหมายคือการพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ในปี 2026 ซึ่งการแข่งขันแบ่งออกเป็น 4 รุ่น รุ่นอายุไม่เกิน 13 ปี , 15 ปี , 17 ปี และ 19 ปี โดยในปีนี้ได้เดินทางมาถึงรอบสุดท้าย และในแต่ละสนามได้กระจายไปจัดตามภูมิภาค เพื่อสร้างกระแสตื่นตัวให้กับคนในต่างจังหวัด และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในและจังหวัดใกล้เคียง

นอกจากนี้นักกีฬาจำนวน 20 คน ที่ทำผลงานได้โดดเด่น จะถูกคัดเลือก ไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่สโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมดังในบุนเดสลีก้า ของเยอรมันอีกด้วย

สำหรับผลการแข่งขันฟุตบอลลีกเยาวชนแห่งชาติ ประจำฤดูกาล 2018-2019 ในรอบชิงชนะเลิศ ในรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ทีมชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีมอัสสัมชัญ ยูไนเต็ด ด้วยการยิงประตูจุดโทษชนะทีมบีจี ปทุม ยูไนเต็ด สกอร์ 4-2 ประตู หลังจากเสมอกันในเวลาการแข่งขัน โดยได้รับเงินรางวัลบำรุงทีม จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล อันดับที่ 2 รองชนะเลิศ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ได้รับเงินรางวัลบำรุงทีม จำนวน 500,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล ส่วนอันดับที่ 3 ทีมโปลิศ เทโร เอฟซี ได้รับเงินรางวัลบำรุงทีม จำนวน 200,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล อันดับ 4 ทีมสมุทรสาคร เอฟซี ได้รับเงินรางวัลบำรุงทีม จำนวน 100,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล ตามลำดับ

ผู้ว่าการ เปิดเผยระหว่างพักครึ่งการแข่งขันว่า สำหรับฟุตบอลเยาวชนรุ่นอายุ 15 ปี เป็นรุ่นที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจาก รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ต้องการพัฒนา และผลักดัน เพื่อเป็นตัวแทนทีมชาติไทยไปแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ต่อไป ซึ่งเป็นแผนงานระยะยาวที่ได้วางไว้ โดยหลังจากนี้ เยาวชนชุดนี้จะมีการเก็บตัวและส่งไปแข่งขันรายการต่างๆ ระดับนานาชาติ เพื่อหาประสบการณ์ ขณะเดียวกันจะมีการพัฒนาใน 2 มิติ ทั้งผู้เล่น รวมไปถึงผู้ฝึกสอนด้วย ซึ่งจะมีการอบรมและพัฒนาโค้ชในระดับภูมิภาคให้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ กกท. และ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ทำงานร่วมกันมากขึ้น เพื่อจะพัฒนานักกีฬาตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงระยะยาวถึง 10 ปี เพื่อสร้างรากฐานในทุกรุ่นอายุ ทั้ง รุ่น u 17, u 20 และ u 23 ซึ่งสนามต่อไป รุ่นอายุ 13 ปี ที่ จ.เชียงราย คาดว่าจะมีกระแสตอบรับที่ดีไม่แพ้ภูเก็ตแน่นอน ทั้งในการเป็นเจ้าภาพ การจัดการแข่งขัน รวมถึงความพร้อมในด้านต่างๆ เชื่อว่าเชียงรายจะทำได้ดีมาก