จิตรเมืองนนท์ เป็นค่ายที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน สร้างนักมวยเอกมาหลายคน ไม่ว่าจะเป็น พันธ์พยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์ , เขี้ยวพยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์
โดยเฉพาะ รถถัง จิตรเมืองนนท์ ที่โด่งดังไปไกลระดับโลก และผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้ ก็คือบุคคลที่คอยจับเป้า คอยสอนทั้งเรื่องของเชิงมวย การใช้ชีวิต หรือแม้กระทั่งการอบรมดูแลสั่งสอนอย่างใกล้ชิด ก็คือ สุบิน สนตอน เทรนเนอร์ใหญ่แห่งค่ายจิตรเมืองนนท์ ผู้เคยได้รับรางวัลผู้ฝึกสอนกีฬามวยอาชีพดีเด่นจากการกีฬาแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2556
“ผมเป็นคน ต.ม่วงงาม อ.สิงหะนคร จังหวัดสงขลา จุดที่เริ่มสนใจมวยก็คือตั้งแต่ป.3 พ่อแม่บังคับให้ชกมวย เนื่องจากตอนเด็กๆเป็นคนดื้อ ชอบหนีเรียน ก็เลยให้ชกมวย ตอนนั้นก็ไม่ค่อยมวยเท่าไหร่ แต่แถวบ้านค่ายมวยเยอะมาก ตี 4 ตี 5 ก็จะเห็นนักมวยวิ่งซ้อมมวยกันผ่านหน้าบ้าน ก็ได้เห็นประจำ”
“พ่อผมจึงเอาไปฝากซ้อมไว้ที่ค่ายศิษย์ปัก ใช้ชื่อมวยในการต่อยตอนนั้นก็คือ เดชสุบิน อ.ศิริวุฒิ ต่อยมาประใณ 100 กว่าครั้ง พอเริ่มเก่ง ก็เข้ามาต่อยในกรุงเทพฯอีกประมาณ 20 กว่าครั้ง ก็เลิกมวย ส่วนใหญ่จะชกแถบภูธรมากกว่า สถิติตอนนั้นก็ชนะมากกว่าแพ้ เป็นมวยฝีมือคลาสสิค”
“ผมเลิกมวยปี 2530 ชกมาประมาณ 100 กว่าครั้ง เหตุที่เลิกก็เกิดจากตัวเองเกเร จากนั้นพอหลังเลิกมวยก็กลับมาอยู่ที่บ้านประมาณสองปี จากนั้นก็รู้จักกับพี่จ๊ง กางเขนดง เนื่องจากน้องชายที่อยู่กรุงเทพมาชกมวย”
“พี่จ๊งก็เลยคุยกับน้องชายว่า ให้ตามผมมาช่วยล่อเป้าให้หน่อย ก็เลยตัดสินใจมาล่อเป้าให้กับน้องชายที่ค่าย ป.ชัยวัฒน์ ตั้งแต่ตอนนั้นมา ก็จับเป้ามาตลอด ช่วยเด็กๆล่อเป้ามาตลอด ตอนอยู่ที่ป.ชัยวัฒน์ก็สร้างมวย ทำมวยมาหลายคน”
“จากนั้นพี่จ๊งก็แยกไปทำค่ายส.ตะวันรุ่ง ก็เลยตามพี่จ๊งไปทำค่ายมวยด้วย ก็เท่ากับว่าได้เริ่มนับ 1 ตั้งแต่นั้นมาเลย ประมาณปี 2548 อยู่ป.ชัยวัฒน์ประมาณ 4-5 ปี อยู่ค่ายส.ตะวันรุ่งจนถึงปิดค่ายประมาณปี 2558”
จากจุดนั้นเอง สุบิน ก็เริ่มคิดแล้วว่า จะเอาอย่างไรกับชีวิตดี เพราะว่าค่ายปิด ก็หมายถึงการที่ตัวเองจะไม่ได้ทำในสิ่งที่รักมากว่าค่อนชีวิต แต่แล้วก็เหมือนกับชะตาฟ้าลิขิตให้เขาต้องมาอยู่ที่ค่ายจิตรเมืองนนท์
“ผมมาอยู่จิตรเมืองนนท์ ก็เพราะตอนนั้น เก่งกล้า เก่งกาจ ยอดพนมรุ้ง ที่เคยอยู่กับผมที่ค่ายส.ตะวันรุ่ง ถูกขายสิทธิ์มวยมาให้ที่จิตรเมืองนนท์ ก็เลยถามเขาว่าจะเอาเทรนเนอร์ด้วยหรือเปล่า ตอนนั้นว่างอยู่ ให้เก่งกาจถามพี่อ้วน จากนั้นก็ได้เข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อปี 2561
“การสอนมวยของผม ไม่เน้นในเรื่องการบู๊มุทะลุดุดัน เน้นในเรื่องฝีมือมากกว่า จะฝึกให้เด็กรู้จักคิด ใช้สมอง ไม่ใช้พละกำลัง ผมชอบแบบนั้นมากกว่า อย่างกรณีรถถัง เขามีจุดเด่นในเรื่องของพละกำลังอยู่แล้ว เราก็มาปรับในเรื่องของเบสิค เชิงมวย การยืนมวย การก้าวไปหาคู่ต่อสู้ การหลบ การออกข้าง เอามาผสมผสานกัน เสริมในเรื่องการออกหมัด การต่อยหมัดคู่ต่อสู้ ซึ่งเขาก็สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้ก็พอใจมาก”
เมื่อพูดถึงรถถัง จิตรเมืองนนท์ สุบิน บอกว่าเป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่งที่ภาคภูมิใจมาก “ผมมาอยู่ที่ค่ายจิตรเมืองนนท์ และได้มาเป็นเทรนเนอร์ให้กับ รถถัง เขาเป็นมวยสไตล์บู๊ ดุดัน มีความมั่นใจในตัวเอง เวลาซ้อมเขาจะตั้งใจมาก ไม่เคยอู้ แต่เรื่องเกเรก็มีบ้าง ซึ่งมันก็เป็นไปตามวัย”
“นักมวยส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนกันทุกคน แต่เราก็พยายามดูแลเขา ประคับประคองกันไป และสอนเขาให้รู้จักมีความรับผิดชอบตัวเอง สิ่งที่เพิ่มให้รถถังก็คือเรื่องเบสิกต่างๆ ระบบการหายใจ ไม่ใช่รับอย่างเดียวหรือเดินต่อยเอามันอย่างเดียว”
“ถ้าเราชกแบบใช้พลังเยอะๆ อายุมวยจะไม่นาน ต้องเน้นเรื่องการป้องกันตัว การออกอาวุธ การดึงให้คู่ต่อสู้มาอยู่ในเกมของเรา ผมจะเน้นในจุดนี้มากกว่า”
หลักในการเทรนมวยของ สุบิน บอกว่าไม่มีอะไรมาก ใช้ใจเข้าไปหาเด็กก่อน แล้วเราจะรู้ว่า เราจะสอนนักมวยแต่ละคนอย่างไร เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน
“หลักในการสอนมวย ครั้งแรกผมจะถามเด็กก่อนว่าจุดมุ่งหมายของเด็กคืออะไร ผมรู้สึกผูกพันกับเด็ก พยายามดึงศักยภาพของเด็กออกมา อย่างเด็กคนไหนเป็นมวยเข่า เราก็จะพยายามเน้นหนักไปทางการเทรนเข่า คนนี้เป็นมวยฝีมือ เราก็จะเสริมในเรื่องการพัฒนาเชิง ฝีมือ พยายามดึงศักยภาพของเขาออกมามากกว่า”
“ไฟท์ที่รู้สึกภูมิใจมากก็คือ ไฟท์ที่เพชรมหาชนได้แชมป์มวยรอบอีซูซุ ผมถึงกับร้องไห้เลย เนื่องจากว่าก่อนวันที่เพชรมหาชนจะต่อยรอบชิงชนะเลิศ เขาไม่สบายก่อนชกประมาณ 1 สัปดาห์ จะถอนก็ถอนไม่ได้ ผมก็บอกหัวหน้าคณะว่าเด็กป่วย ซ้อมไม่ได้ จะทำอย่างไร เขาก็บอกว่าให้เด็กมานอนกับผม ผมก็เอาเพชรมหาชนมานอนกับผม ทั้งๆที่ป่วย ปิดข่าวเงียบ ไม่ให้ใครรู้ รู้แค่คนข้างใน พอถึงวันชก เพชรมหาชนก็ฮึดสู้ จนคว้าแชมป์มาครองได้ ผมน้ำตาไหลเลย ยอมรับว่าดีใจสุดๆ”
“ผมเคยมีความรู้สึกท้อนะครับ กับเด็กบางคนที่เรารู้สึกว่า สอนเท่าไหร่ก็ไม่ได้ดั่งใจเรา ผมท้อจนนับครั้งไม่ถ้วน จะเลิกก็เลิกไม่ได้ เพราะเป็นอาชีพที่เรารัก ก็เลยกลับมานั่งคิดว่าเรามีหน้าที่ที่ต้องปั้น แต่งนักมวยพวกนี้ จะมามัวแต่ท้อไม่ได้เด็ดขาด ผมก็ต้องทำงานให้หนักขึ้น ซ้อมเด็กให้หนักขึ้น”
“จุดเด่นของผมอยู่ที่ความคิด ความรู้สึกของผม การพูดจาต่างๆ กับเด็ก ผมพยายามให้กำลังใจกับเด็ก พอถึงเวลาที่เด็กแพ้มา เราก็พยายามชี้ให้เขาเห็นถึงข้อบกพร่อง ไม่เป็นไร ครั้งหน้าเอาใหม่ มาแก้ไขจุดบกพร่อง ปลอบเด็ก ไม่เคยมาให้ร้ายเด็ก ให้กำลังใจเด็กเสมอ”
“การมีอาชีพเทรนเนอร์ของผม ผมถือว่าเป็นการปิดทองหลังพระ เด็กชนะ เราก็ดีใจกับเด็ก ถ้าเด็กแพ้ เราก็เสียใจ เจ็บปวดไม่แพ้เด็กเหมือนกัน ผมไม่เคยหนักใจกับนักมวยคนไหนเลย ผมถือว่าทุกคนก็เหมือนกันหมด มีขี้เกียจ มีขยัน เป็นบางเวลา ผมจะพยายามทความเข้าใจและคุ้นเคยกับเด็กมากกว่า”
ในวัย 50 ปี ของ สุบิน สมตอน ผ่านประสบการณ์ในการเป็นทรนเนอร์มาแล้วเกือบค่อนชีวิต และคิดว่าคงจะอยู่ทำหน้าที่นี้อีกไม่นาน
“เป้าหมายของผมก็คือถ้าลูกเรียนจบ ผมก็คงเลิกและไปอยู่กับครอบครัวแล้ว การที่นักมวยจะประสบความสำเร็จได้ อย่างแรกก็คือการมีระเบียบวินัย สำคัญที่สุด ถ้าคุณขยัน หรือเก่ง แต่ไม่มีระเบียบวินัย คุณก็ไปไม่ได้ จะไปได้แค่ครึ่งๆกลางๆ ต้องรู้เวลา หน้าที่ตัวเอง กินตอนไหน นอนตอนไหน เที่ยวตอนไหน อันนี้สำคัญที่สุด”
“ทุกวันนี้เซียนมวยโลกโซเชียลเยอะ พอมวยแพ้ขึ้นมา ก็ชอบมาต่อว่า อยากให้คุณลองมาอยู่ตรงนี้ดูว่ามันเหนื่อยแค่ไหน กว่าจะได้เงิน ต้องลดน้ำหนัก อดข้าว อดน้ำเป็นอาทิตย์ เด็กแพ้ขึ้นมากโดนด่าว่า ดูถูกอย่างนั้นอย่างนี้ มาเปลี่ยนเสียงด่าว่า ด่าทอ มาเป็นการให้กำลังใจกันดีกว่า ถ้าให้กำลังใจ ในครั้งต่อไป เด็กคนนี้ อาจจะดีขึ้นมาเนื่องจากกำลังใจที่ได้รับก็ได้ กำลังใจ คือสิ่งสำคัญที่สุดครับ”