เพชรมหาชน จิตรเมืองนนท์  จอมดีเดือดที่ไม่เคยท้อถอยแม้จะเผชิญกับคำดูถูก

รูปกาย ผิวพรรณ ฐานะ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถกำหนดได้ บางคนใช้รูปกายในการทำงาน จนประสบความสำเร็จในชีวิต 

 

แต่ในขณะที่อีกหลายคน แม้จะไม่ได้เกิดมามีสิ่งเหล่านั้นอย่างเพียบพร้อม แต่ก็สามารถใช้จุดด้อย นำมาเป็นจุดเด่น สร้างตัวเองจนสำเร็จ 

 

เช่นเดียวกับนักมวยคนนี้ ที่แม้ดวงตาเขาจะไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่น แต่เขาก็ได้ใช้ความพยายาม ความอดทน ฝ่าฟันมาจนประสบความสำเร็จบนสังเวียนผ้าใบได้ และนี่คือเรื่องราวของนักมวย นักสู้ชีวิต เพชรมหาชน จิตรเมืองนนท์

 

“ผมเกิดที่ อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธิ์ แต่มาเติบโตที่อ. ยางตลาด สมัยเด็กเป็นเด็กที่ซนและดื้อ  เกิดมาจำความได้ก็คือ ฝาผนังบ้าน มีแต่รูปนักมวย เนื่องจากคุณพ่อชอบมวยมาก”

“เหตุที่ตาเสีย คุณพ่อเป็นทหารเกณฑ์ประจำการอยู่ที่ราบ 11 กรุงเทพฯ ผมก็อยู่กับแม่ ช่วงนั้น 2 ขวบ ไปวิ่งเล่นตามประสาเด็ก แต่เกิดอุบัติเหตุวิ่งไปชนเหล็ก ช่วงนั้นยากลำบากมาก ก็ไม่ได้ไปรักษา เนื่องจากฐานะถือว่ายากลำบาก รักษาแค่อนามัยของหมู่บ้าน ก็เลยตาเสีย” 

 

“สมัยเด็กๆ ก็จะแค่ตาดำเอียงเฉยๆ แต่พอโตขึ้นมา ตาก็เริ่มฝ่อลงเรื่อยๆ พ่ออยากให้ชกมวย อยากให้เอาจุดด้อยเป็นจุดเด่นในการชกมวย ชกให้เก่งๆ ใหมีคนรู้จักไปเลย ไปโรงเรียน เพื่อนก็ชอบล้อว่าตาไม่สามัคคี ก็เลยตั้งใจซ้อมตามที่พ่อบอก” 

 

“ครูมวยคนแรกก็คือพ่อ ชกครั้งแรกตอนอายุ 8 ขวบ ไปต่อยเวทีงานวัด เจอกับแฟนจ๋า ลูกเจ้าพ่อทรายทอง ครั้งนั้นผมแพ้คู่ต่อสู้ ได้ค่าตัวมา 100 บาท ต่อยครั้งแรกตื่นเต้นมาก สไตล์การชกผมเป็นยังไง ตอนเด็กก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ พอลงเวทีมา ก็เป็นลมเลย ตื่นอีกทีอยู่บ้านแล้ว ไม่รู้ใครพากลับ”

 

“ พ่อกับแม่เป็นคนขับมอเตอร์ไซค์พาไปชก ไปกัน 3 คน ต่อยเสร็จวันนั้น พ่อกับแม่ก็สนับสนุนเหมือนเดิม บอกให้สู้ใหม่ มีงานหน้า จะพาไปเปรียบมวยอีกครั้ง หลังจากนั้น ผมก็หยุดไปประมาณหนึ่งปี เนื่องจากสมัยก่อนไม่ค่อยมีมวยงานวัด ผมก็ตระเวนชกแถบภูธรประมาณ 60 ครั้ง เคยชกกับมานะศักดิ์ ศิษย์นิวัฒน์ , เริงศักดิ์ ศิษย์นิวัฒน์ , อรุณเดช เอ็ม 16”

 

 เมื่อโชว์ฝีไม้ลายมือย่านภูธรจนหาตัวจับยาก เส้นทางการเริ่มชีวิตนักมวยของเขา ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

 

“หลังจากเดินสายสร้างกระดูก คุณพ่อก็เริ่มเห็นแววเราเริ่มจริงจังกับการชกมวย ก็เลยนำไปฝากกับ อ.นุกูล สรสันต์ ซึ่งเป็นลุงของผม ค่ายมวยเกียรติสรนันท์ ที่อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งถือเป็นค่ายมวยมาตรฐาน ทำมวยมาชกที่กรุงเทพฯ ผมมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ผมจบป.6 จนจบมัธยมปลาย เข้ามาต่อยกรุงเทพฯ ก็ต่อยทุกเวที ไม่ว่าจะเป็นเวทีราชดำเนิน ลุมพินี ช่อง 7

 

“ผมอยู่กับค่ายเกียรติสรนันท์มา 6 ปี ค่ายก็ยุบ ก็เลยมีการซื้อสิทธิ์ให้ผมมาอยู่ที่ค่ายศิษย์น้องแบงค์ จ.ฉะเชิงเทรา ก็เลยเปลี่ยนมาใช้สีเสื้อเป็น เพชรมหาชน ศิษย์น้องแบงค์ ผมอยู่ที่นี่ได้ประมาณ 3 ปี ค่ายก็ยุบอีก เพราะว่าค่ายนี้ มีผมเป็นนักมวยแค่คนเดียว เขาก็เลยเลิกทำ ผมก็เลยตัดสินใจเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ กับเพื่อน มาอยู่ภายใต้การดูแลของ พล.ต.ตเสวก ปิ่นสินชัย และชกในรายการศึกอัศวินดำตั้งแต่นั้นมา โดยใช้สีเสื้อศิษย์แสนเก่ง” 

 

ในขณะนั้น เพชรมหาชนถือว่าเป็นดาวดวงเด่นของศึกอัศวินดำเลยก็ว่าได้ แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดจุดหักเหสำคัญ ที่เปลี่ยนชีวิตของเขาขึ้น

 

“ผมต่อยอยู่ที่ศึกอัศวินดำประมาณ 3 ปี ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ก็เลิกถ่ายทอดมวยศึกอัศวินดำพอไม่มีศึก ไม่มีรายการต่อย ผมก็เลยมาขอความปรึกษาท่านผู้การเสวกว่าให้เมตตาผมหน่อย ผมอยากชกมวยต่อ ท่านก็เลยจัดการส่งผมมาอยู่ที่ค่ายจิตรเมืองนนท์”

 

“วันแรกที่ผมมาอยู่ที่นี่ ก็คิดว่าเป็นโอกาสทอง โอกาสที่ดีที่สุด เพราะว่าจิตรเมืองนนท์เป็นค่ายดัง มีนักมวยดังๆหลายคน ส่งนักมวยไปชกหลายเวที มันเป็นทางที่เราสามารถจะเกิดได้ ผมจึงตั้งใจและมีความมุ่งมั่น จนกระทั่งมาได้แชมป์หลายเส้น ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ 135 , 140 ปอนด์ เวทีมวยสยามอ้อมน้อย และแชมป์มวยรอบอีซูซุครั้งที่ 29”              

 

“พอมาอยู่ค่ายจิตรเมืองนนท์เหมือนกับเป็นการให้อนาคตใหม่กับผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา อาชีพการชกมวย สถานะทางการเงิน ซ้อเอ๋ สุนทรี โลหะพืช เป็นคนดูแลให้ทุกอย่าง สนับสนุนผมทุกอย่าง  เมื่อก่อนผมเป็นมวยบู๊ ประเภทเดินชน ท้าแลก ท้ารบ แต่พอมาอยู่ที่จิตรเมืองนนท์ เห็นเพื่อนๆเขาเป็นมวยฝีมือ ก็ปรับตามเขา จนได้ดีตามเพื่อน ถึงจะประสบความสำเร็จช้าหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ประสบความสำเร็จเลย”

 

ตั้งแต่เพชรมหาชนมาอยู่ที่นี่ ก็กวาดเข็มขัดแชมป์มาครองถึง 3 เส้น แต่เข็มขัดแชมป์ที่เขารู้สึกภาคภูมิใจมากที่สุด ก็คือ การได้ครองแชมป์มวยรอบอีซูซุครั้งที่ 29 

 

 “ไฟท์ที่ผมประทับใจ ก็คือไฟท์ที่ได้แชมป์มวยรอบอีซูซุครั้งที่ 29 ครับ แรกสุดก็คือซ้อเอ๋ กับพี่อ้วนมาบอกว่าผมมีรายชื่อในการแข่งขันมวยรอบรายการนี้นะ ผมก็ดีใจมาก คิดว่าโอกาสมาถึงเราแล้ว เราต้องทำให้ได้ ผมก็ตั้งใจซ้อมมาก ค่อยๆผ่านไปทีละรอบๆ” 

 

“นัดชิงชนะเลิศ ผมชกกับ พลอยวิทยา เพชรสี่หมื่น วันนั้นผมตั้งใจทำหน้าที่อย่างเต็มที่ จนกระทั่งประสบความสำเร็จ ชนะและได้แชมป์มวยรอบอีซูซุมา ผมดีใจและภูมิใจมากครับ ตั้งแต่ชกมวยมา ผมเพิ่งได้แชมป์ครั้งแรกตอนอายุ 27 ปี แต่ผมก็ไม่ย่อท้อนะ ถึงแม้มันจะช้ากลับดีเสียอีก มันยิ่งทำให้เห็นว่า ถ้าเรามีความพยายาม ต่อให้อายุแค่ไหน เราก็สามารถประสบความสำเร็จได้ครับ” 

       

อย่างไรก็ดี ตลอดระยะที่อยู่กับผืนผ้าใบมานานกว่ายี่สิบปี เพชรมหาชน ต้องผ่านเรื่องราวมากมากมาย ทั้งสุขและทุกข์ แต่สิ่งที่เขาทำให้ก้าวไปข้างหน้าคือ ทัศนคติที่ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมกับความทุกข์ยาวนาน

 

“เคยมีวันที่คิดท้อเหมือนกัน แต่ผมก็คิดว่า ความรู้สึกเหล่านี้ อย่าให้มันอยู่กับเราเกิน 5 วัน มันเป็นแค่อารมณ์วูบหนึ่ง ถ้าเรารักอาชีพนี้ เราต้องไปต่อให้ได้ บางทีหยุดชกนานๆ ผมก็ไปประกอบอาชีพอื่นๆ อย่างช่วงหยุดชกไป 3-4 เดือน ผมก็ไปทำงานที่โรงงานเฟอร์นิเจอร์ครับ ทำเตียงนอน ทำตู้ ผมอยู่ฝ่ายผลิต”

“ยืนทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้า เลิกห้าโมงเย็น วันไหนถ้ามีงานล่วงเวลา ก็ต้องอยู่ถึงสอง สามทุ่ม แต่ทำแล้ว มันก็ไม่เหมือนอาชีพชกมวย ที่เราคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ต่อยมวย ได้เงิน ได้ชัยชนะ ได้ชื่อเสียง ผมรู้สึกว่าผมชอบความรู้สึกแบบนี้มากกว่า”

 

 และแล้ววันที่เขาต้องตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง เกี่ยวกับอนาคตการเป็นนักมวยของเขาก็มาถึง 

“ไฟต์ล่าสุดที่ผมขึ้นชก เมื่อเดือนเมษายน 2565 ผมแพ้ให้กับ ปฏักเทพ ปากบางค้าข้าว ที่จ.พะเยา ผมก็เริ่มกับมาดูร่างกายผม โดยเฉพาะสายตา ผมรู้สึกว่ามันเริ่มไม่ดีแล้ว เพราะว่าอุบัติเหตุตั้งแต่เด็กๆ พอเริ่มมีอายุ ใช้งานเยอะๆ มันก็เริ่มจะเสื่อม”

“ผมได้ไปปรึกษากับคุณหมอ เพราะช่วงหลังที่ซ้อมมวย จะต้องใช้ยาตลอด พอโดนเหงื่อมันก็แสบ ก็เลยไปรักษากับคุณหมอที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เขาก็เลยส่องกล้องดูให้ แต่เขาบอกว่าเครื่องมือไม่พร้อม เลยส่งไปที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น”

“คุณหมอก็เลยบอกว่า ต้องหยุดชกมวย ไปทำอาชีพอื่นก่อน เพราะว่าอันตราย พอผมได้ฟังอย่างนั้น ผมก็ช็อคไปพักหนึ่ง ถือว่าเป็นจุดหักเหของชีวิต เราเคยชกมาหลายปี หมอมาให้เราหยุด เราก็ต้องทำใจยอมรับ จะไปดื้อรั้นกับหมอก็ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจหยุดชกมวย” 

 

 “หลังจากหยุดชกมวย นายสมจิตร แว่นแก้วและซ้อเอ๋ ก็ยังให้การดูแลผมเป็นอย่างดี ให้ผมมีหน้าที่เป็นเทรนเนอร์สอนเด็กในค่าย ดูแลเด็กในค่าย ก็ยังอยู่กับวงการมวยอยู่ครับ แม้จะไม่ได้ชกมวย แต่ก็ใช้วิชาตัวเอง สั่งสอน ฝึกปรือให้กับน้องๆในค่ายจิตรเมืองนนท์เหมือนเดิม”

 

 เมื่อเปลี่ยนบทบาท จากนักมวยไปสู่เทรนเนอร์ เพชรมหาชนก็สามารถทำหน้าที่ได้ดี เหมือนกับตอนที่สมัยตัวเองยังชกมวยอยู่ เมื่อถามถึงอนาคตข้างหน้ากับเส้นทางสายใหม่ในบทบาทของเทรนเนอร์ 

 

“อนาคตข้างหน้า ผมก็คงยังอยู่ที่นี่ ผมมีความสุขกับที่ค่ายจิตรเมืองนนท์มาก นายสมจิตรกับซ้อเอ๋ก็ยังคงให้การดูแลให้การสนับสนุนผมทุกๆเรื่อง ผมพยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตผมยังไม่ได้คิดไปไกลกว่านั้นครับ 

 

“ผมอยากให้น้องๆนักมวยที่ยังชกอยู่ ไม่ว่ารุ่นใหม่รุ่นเก่า อยากให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะอาชีพการชกมวย มันมีระยะเวลาที่สั้น ต้องรู้จักเก็บหอมรอบริบไว้ตอนที่เราแก่ตัว หรือเลิกมวยไปก็จะได้ไม่ลำบากครับ”