พลัฏฐ์ สุวรรณาเมธากร : สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย กับการปรับปรุงกฎหมายกีฬามวย
“วันนี้เราต้องทำความเข้าใจว่า มวยไทย คือกีฬา ที่ถือกำเนิดเกิดในประเทศไทย วันนี้เราต้องเอาวัฒนธรรมในสมัยโบราณมาบวกรวมให้หมด แล้วทุกอย่างจะพัฒนาไปในทางที่ดีทั้งหมด”
นี่คือ คำปรารภของ นายพลัฏฐ์ สุวรรณาเมธากร ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย เมื่อถูกถามถึง การปรับปรุงกฎหมายกีฬามวย พื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสามารถใช้งานได้จริง เพื่อประโชน์สูงสุดของนักมวย และบุคคลวงการมวย
“แม้ว่าผมจะจบสายตรงทางด้านพลศึกษา ชื่นชอบกีฬามวยมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่ผมก็ไม่เคยคิดฝันหรือคาดหวังนะครับว่า ผมจะได้เป็น ผอ.สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย แต่เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้แล้ว สิ่งแรกที่ผมเห็น และสมควรที่จะปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้คนวงการมวยได้รับประโยชน์ ก็คือเรื่องของ พรบ.กีฬามวย ปี พ.ศ.2542”
“ไม่ใช่ว่า พรบ.มวยฉบับที่ใช้งานอยู่นี้ไม่ดี แต่กฎหมายและข้อกำหนดบางมาตรา ค่อนข้างเก่าและไม่ทันสมัย น่าจะ 23-24 ปีแล้วแหละ มันควรจะต้องมีการแก้ไข เพื่อให้ทันสมัยและตรงกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ตอนนี้เรากำลังศึกษาหาข้อมูลเพื่อแก้ไขในบางข้ออยู่ครับ”
“สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย ทำงานเพื่อคนวงการมวยทุกวัน ทุกเรื่องที่ได้รับการร้องเรียน เราถือเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนทั้งหมดครับ ที่การทำงานของเราไม่ค่อยเป็นข่าว เพราะเรามัวแต่ทำงาน ไม่มีเวลาออกข่าวประชาสัมพันธ์ผลงานตัวเอง”
“อย่าง พรบ.กีฬามวย ปี พ.ศ.2542 หลายข้อที่คนวงการมวยและคณะทำงานเสนอมา เราเห็นว่าสมควรต้องแก้ไขในส่วนของกฎหมายรอง เรื่องนี้มีขั้นตอนการดำเนินงาน อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ภายหลังชำระกฏหมายรองเรียบร้อย จะมีการประกาศใช้ เพื่อคุ้มครองคนวงการมวยต่อไป”
“วงการมวยในเวลานี้กำลังฟื้นฟูและกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง หลังจากวิกฤตโควิดผ่านพ้นไปได้ 3 ปี นักมวยที่เคยเดือดร้อนไม่มีเงินใช้ ไม่มีรายการชก ก็จะกลับมามีรายการตามปกติ วันนี้หนึ่งในเรื่องการพักไม่ครบ 14 วัน 21 วัน หรือ 30 วัน ยังเป็นประเด็นที่ข้อกฎหมายควรไปดูตรงนี้ว่าจะมีช่องทางแก้ไขให้เกิดประโยชน์กับนักมวยมากกว่าโทษหรือไม่อย่างไร
“หันมามองคนดูมวยบ้าง ทั้งในทีวี ทั้งในสนาม ต่างก็บอกว่ากรรมการใช้ดุลพินิจตัวเองมากเกินไป ไม่ได้ใช้กติกาของการแข่งขันจริงๆ ในเมื่อเรามีกติกาสำหรับรองรับผลการแข่งขันอยู่แล้ว รวมทั้งยังมีกติกาให้คะแนนทุกยกใน 3 ยกแรก เซียนมวยยังดูต่างกันว่าแดงน่าชนะ อีกคนบอกน้ำเงินน่าชนะ เราจึงต้องดำเนินการโชว์คะแนนเป็นยกๆ เพื่อความโปร่งใส”
“เราเอาคะแนนโชว์ 3 ยก ยก 1 ยก 2 ยก 3 ให้แฟนมวยทั่วประเทศรับรู้ ทำให้การแข่งขันชกมวยมีอรรถรสมากขึ้น ออกมาชกยก 5 ใครขึ้นไปเต้น ไม่ยอมต่อย กรรมการจะเตือนครั้งที่ 1 ถ้ายังทำอีกจะเตือนครั้งที่ 2 และอาจจะมีการหักค่าตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องไปแก้ไขนะครับ พรบ. กฎหมายลูก ระบุว่าทำได้ไหม แล้วกรณีที่ทำ จะต้องมีการเซ็นสัญญาด้วยว่า ถ้าขึ้นไปเต้นติ๊ดชึ่งเมื่อไหร่ โดน 1 โดน 2 ตักเตือน 1 2 3 หัก 20 เปอร์เซ็นต์ของค่าตัว”
“ผมว่าเป็นเรื่องดีนะครับ แต่ที่ผ่านมา 3-4 แมทช์ ไม่มีครับ ติ๊ดชึ่ง ไม่มีขึ้นไปเต้น ต้องรู้บทบาทของตัวเองว่ามีหน้าที่อะไร ถ้ารู้บทบาทนักมวยมีหน้าที่อะไร หัวหน้าค่ายมีหน้าที่อะไร ผู้ตัดสินมีหน้าที่อะไร ถ้าเขารู้บทบาทตัวเอง ทุกอย่างก็จะง่ายนิดเดียว แน่นอนที่สุดว่าคนวงการมวยได้รับประโยชน์ เราแก้เพื่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น เราใช้ พรบ.มวย มาตั้งแต่ปี 2542 เมื่อแก้ พรบ. มวยให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว วงการมวยจะได้เดินต่อไปครับ”
“แต่บางเรื่อง บางข้อกฎหมายก็ขัดกับความเป็นจริงในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องทำให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันให้ได้ อย่างที่ผมพูด ทุกคนต้องรู้บทบาทตัวเอง กรรมการเอย นักมวยเอย หัวหน้าค่ายเอย ทุกคนต้องรู้บทบาทตัวเอง รวมทั้งผู้จัด ผมเห็นผู้จัดหลายคนจัดรายการแล้ว นักมวยตัวเองก็นำเข้ารายการไปชกด้วย แล้วกรรมการก็เป็นของตัวเองหรือเปล่า อันนี้แหละ ประเด็นหลักๆที่เป็นปัญหาอยู่ วันนี้เราต้องมาหาทางจูนเครื่องเพื่อมาแก้ไขกัน”
“ข้อมูลเหล่านี้ จะมารวมๆกัน แล้วประมวลผล หาประเด็นว่าคนวงการมวยต้องการอะไร วันนี้เราให้คนวงการมวยขึ้นมาพูดคุยที่สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย บอกเลยคุณต้องการอะไร คุณต้องการอยากให้เราแก้อะไร คุณเห็นอะไรถูก คุณเห็นอะไรผิด บอกเรามา เราเปิดใจแล้ว ทุกคนในวงการมวย ไม่ใช่ผมนะครับ”
“ความคิดเหล่านี้ไม่ได้มาจากผม ไม่ได้มาจากท่านรองทนุเกียรติ ไม่ได้มาจากท่านผู้ว่าฯก้องศักด แต่มาจากทุกคนในภาพรวม ทั้งผู้ว่าฯ ทั้งเจ้าหน้าที่มวย ทั้งบุคคลในวงการมวยทั้ง 7 ประเภทเหล่านี้แหละครับ มารวมกันเพื่อให้เกิดการพัฒนา ไม่ใช่ความคิดของคนใดคนหนึ่ง แต่ทำอย่างไรให้ความคิดของคนเหล่านั้นมารวมกัน แล้วให้ได้มาตรฐานตามที่ทุกคนต้องการ เรามาช่วยกัน เพื่อวงการมวยของพวกเราครับ”